วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ช่วยกันแชร์ ครูโหด เส้นใหญ่ ทำไมไม่ถูกย้าย ?

ช่วยกันแชร์ ครูโหด เส้นใหญ่ ทำไมไม่ถูกย้าย ?



                        เมื่อครั้งสมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 ในโรงเรียนต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง ชั่วโมงวิชาภาษาอังกฤษเป็นชั่วโมงอันน่าระทึกขวัญที่สุด เพราะคุณครูโหดมาก ในสมัยนั้น กริ๊งๆๆ เป็นเสียงกระดิ่งรถจักรยานที่นักเรียนภาษาอังกฤษชั่วแรกนั่งลุ้นกันระทึก  “ครูยินดี มาแล้ว”  เมื่อรับสมุดการบ้านที่ครูตรวจมาดูพวกเราจะค่อยๆแย้มลุ้นระทึก ข้อความที่ปรากฏคำว่า “ไปพบครู” นั่นหมายความว่าต้องกลับบ้านหลัง 1700 น เพราะจะต้องมาเรียนพิเศษซึ่งทุกคนขยาด ในเวลาเรียนท่านจะเน้นแกรมม่ามาก ถ้าตอบผิดตอบไม่ได้โดน ทุกคนจะตั้งใจมาก ตอบผิดโทษไม่หนัก ไม่ตอบ งานเข้าครับโดนเฆี่ยนจนกว่าจะพูด พวกเราโดยมากอายและกลัวที่จะพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งการฝึกพูดจะสำคัญมาก ครูแก้การอายที่จะพูดโดยการเฆี่ยน ความสามารถพิเศษของท่าน ท่านสามารถสอนนักเรียน 4 ห้องเรียนโดยไม่มีใครกล้าคุย ถ้าใครคุยนั่นหมายความว่าพร้อมที่จะแสดงออก  แบบว่าทุกคนที่เป็นลูกศิษย์ท่านจะก้นช้ำกันทุกคน แบบว่าตีกันจนกว่าจะเข้าเส้น
                    จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ขึ้น   ผู้ปกครองนักเรียนคนหนึ่งทนการกระทำไม่ได้เพราะลูกมาฟ้อง จึงมาร้องเรียน  ผอ.โรงเรียนกลับเฉยและให้คุยกับครูเอาเอง ครูบอกว่า จะไปร้องเรียนที่ไหนก็เชิญ ฉันไม่เคยกลัว (ฟังดูแล้วสงสัยเส้นใหญ่พอตัว) ผู้ปกครองเลยไปแจ้งความ ปรากฏว่า ตำรวจไม่รับแจ้งความครับ  เลยไปร้องนายอำเภอ นายอำเภอก็ไม่รับคำร้อง ไปร้องกับ หน่วยงานต่างๆ ก็ไม่มีใครกล้ารับคำร้อง  จึงเป็นที่สงสัย  ผลปรากฏว่าสาเหตุคือ นายตำรวจหลายท่านเป็นศิษย์ครูยินดี  ซึ่งบอกว่าที่ได้ดีทุกวันนี้เพราะไม้เรียวครู ให้ผู้ปกครองกลับไปสำรวจลูกว่าลูกสนใจเรียนแค่ไหน ควรไปสอนลูกจะดีกว่า นายอำเภอท่านก็เหมือนกัน ท่านเป็นลูกศิษย์ครูยินดี ที่ได้ดีเพราะไม้เรียวครู ลูกกำนันดังในพื้นที่ครูก็ตีมาแล้ว คนที่ได้ดีในอำเภอที่ผมอยู่ได้ดีเพราะผ่านไม้เรียวครูยินดีทั้งนั้น
                   ท่านทุ่มเทอุทิศชีวิตการสอบให้ศิษย์ คนไหนเรียนไม่เก่งบังคับให้เรียนพิเศษตอนเย็นไม่คิดค่าสอน ใครกลับบ้านไม่ได้เพราะเลิกช้ารถหมด ท่านบอกให้นอนที่บ้าน มีชุดให้มีเสื้อผ้าให้มีข้าวให้กิน ขอให้อยู่เรียน คนไหนไม่มีเงินตัดผมท่านจ่ายให้และสระผมให้ด้วย
                  สมัยนี้เด็กขาดความอดทน ขาดสัมมาคารวะเพราะพ่อแม่เป็นสาเหตุ และครูที่ทุ่มเทแบบนี้ที่ไม่เคยกลัวใคร มีจุดยืนในการสั่งสอนศิษย์ หายากแล้วครับ ครูที่ทำคนให้เป็นคน
                  ผมคนหนึ่งก็ได้ดีทุกวันนี้เพราะไม้เรียวท่าน ความรู้เรื่องไวยากรณ์ ที่ท่านสอนผมต้องใช้ตั้งแต่ ป.6 จนจบวิศวะ มาทำงานครับ ถึงแม้ผมไม่เก่งภาษาอังกฤษก็ตาม ถ้าไม่ได้ไม้เรียวท่านผมคงมาถึงจุดนี้ไม่ได้ครับ  บทความนี้ผมเขียนเพื่อเทิดทูนพระคุณท่านครับ
                 

ขอบคุณภาพจาก http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=bluebutter&month=23-07-2011&group=28&gblog=70

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ถ้าเรา ขุดคอคอดกระไม่ได้ ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ ในการขนข้ามมหาสมุทร ?

           คอคอดกระ มีระยะทางจากฝั่งทะเลตะวันตกจรดฝั่งตะวันออกกว้างเพียง 50 กิโลเมตร พื้นที่ส่วนนี้นับเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ

           ได้รับความสนใจตั้งแต่ในสมัยพระนารายณ์มหาราช ในการที่จะขุดคลองตัดผ่านจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 4 ฝรั่งเศสคิดจะขุดคอคอดกระเพื่อร่นระยะทางในการเดินเรือจากฝั่งทะเลอันดามันข้ามมายังฝั่งอ่าวไทย โดยไม่ต้องอ้อมไปทางแหลมมลายู แต่เนื่องด้วยความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับอังกฤษที่เป็นเจ้าของกิจการท่าเรือในปีนังและสิงคโปร์โครงการนี้จึงระงับไป
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองในสนธิสัญญาสมบูรณ์แบบไทยยินยอมที่จะไม่ขุดคลองคอคอดกระหากไม่ได้รับความยินยอมจากอังกฤษก่อน
ปรีดี พนมยงค์ได้เสนอให้ขุดคลอง เมื่อ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 แต่ยังคงไม่มีการขุดคลองแต่อย่างใดจวบจนปัจจุบัน ซึ่งมีหลายเหตุผลคัดค้านรวมถึงไม่ต้องการให้ประเทศแยกออกเป็นสองส่วน ผนวกกับ ประเทศสิงคโปร์กลัวจะเสียผลประโยชน์ด้วย
ใน พ.ศ. 2544 วุฒิสภาได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ ผลการศึกษาที่รายงานต่อที่ประชุมมีสาระสำคัญให้เรียกชื่อคลองว่า "คลองไทย" และบริเวณที่ขุดมิใช่คอคอดกระ เนื่องด้วยเหตุผลทางวิศวกรรมศาสตร์ อันได้แก่สภาพพื้นที่ที่ต้องขุดที่คอคอดกระนั้นเป็นหินและภูเขา และความมั่นคงเนื่องจากบริเวณคอคอดกระอยู่ที่ชายแดนพม่าปากแม่น้ำกระบุรี บริเวณที่วุฒิสภาเห็นว่ามีความเป็นไปได้และเกิดประโยชน์สูงสุดในการขุดคลองไทย คือ เส้นทาง 9ผ่านจังหวัดกระบี่ ตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช และสงขลา ระยะทาง 120 กิโลเมตร
แต่ไม่สำเร็จ

ลองคิดใหม่ดูไหม ถ้ามีท่าเทียบเรือ สองฝั่ง คือ อ่าวไทย  และทะเลอันดามัน โดยให้ห่างจากฝั่งมากเท่าที่จะมากได้  มีระบบยกสินค้าและการบริหารจัดการที่ดี สร้างทางรถไฟออกไปรับ ยกสัมภาระจากเรือขึ้นใส่รถไฟ แล้วทำทางรถไฟลากข้ามทั้ง 2 ฝั่ง สิ่งที่จะได้มีดังนี้
1.กระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าวิธีการขุดร่องน้ำ
2.ได้ค่าเทียบเรือ และค่าชักลากสัมภาระ (เกิดการจ้างงาน)
3.เรือสินค้าทั่วโลกต้องมาเติมน้ำมันที่ไทย (เราอาจสามารถกำหนดราคาน้ำมันโลกได้)
4.เรือสินค้าจากทั่วโลกต้องมาซ่อมบำรุงที่ไทย (เกิดการจ้างงาน)
5.หากเรือจากอีกฟากมารับสินค้าไม่ทันก็จะเกิดธุรกิจคลังรับฝากสินค้า (เกิดการจ้างงาน)
6.เรือที่จอดเทียบท่า ลูกเรือก็ขึ้นฝั่งมาใช้จ่ายในเมืองไทย และเป็นการเพิ่มการท่องเที่ยว (เกิดการจ้างงาน)
7.ประเทศไทยจะกลายเป็นปมคมนาคมสำคัญของโลกทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
8.ภาษาไทยอาจเป็นภาษากลางของภูมิภาค
9.จะเกิดธุรกิจ และการจ้างงานตามมาอีกมากมาย เช่น การบัญชี การขนส่ง ซ่อมบำรุง จ้างแรงงาน ช่างฝีมือ เดินเรือ ฯลฯ
10.พัฒนาขีดความสามารถในการส่งกำลังทางทหาร

ฝากคนไทยช่วยกันแชร์ เพื่อการพัฒนาประเทศครับ




ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://www.dek-d.com/board/view/2599912/
                                      http://jangsawangwon.blogspot.com/2013_12_01_archive.html
                                      http://www.oknation.net/blog/akom/2007/05/10/entry-2/comment

สัญลักษณ์ © สัญลักษณ์ ® และสะญลักษณ์ CE บนสินค้า คืออะไร?

หลายท่านเคยเห็นเครื่องหมายเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์ คงเคยสงสัยว่ามันคืออะไร




© ย่อมาจากคำว่า Copyright แสดงว่างานชิ้นนั้นมีลิขสิทธิ์



® ย่อมาจากคำว่า Registered Trademark หมายถึง เครื่องหมายการค้าจดทะเบียน



            การประทับตรา   ตัวอักษรย่อมาจากคำในภาษาฝรั่งเศสว่า "Conformité Européene"  ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษคือ "European Conformity"เดิมทีใช้เครื่องหมาย EC แต่ภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นเครื่องหมาย CE อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2536
           เป็นเครื่องหมายแสดงว่าสินค้านั้นมีการออกแบบและการผลิตที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยตามข้อกำหนดในระเบียบข้อบังคับด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม EU เพื่อให้ผู้บริโภคใน EU มีความมั่นใจถึงความปลอดภัยในการใช้สินค้าและการจัดการตามมาตรการพิทักษ์รักษาและลดผลกระทบที่อาจมีต่อสิ่งแวดล้อม จะทำให้สินค้านั้นสามารถวางจำหน่าย และสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีในเขตเศรษฐกิจยุโรป หรือ European Economic Area (EEA) ยกเว้นประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เงินเดือนขึ้นแต่ละปี เพิ่มขึ้นจริงหรือ?



    ผมได้ลองหาสถิติมาทดสอบ โดยให้ดัชนีราคาผู้บริโภคปี 49 =100 แล้วนำมาคำนวนเปรียบเทียบกับราคาข้าวผัดใส่ไข่ทั่วไป เหตุที่ผมเปรียบเทียบข้าวผัดใส่ใข่ทั่วไป เพราะมันเป็นค่าใช้จ่ายหลักของมนุษย์เงินเดือนครับ

          โดยลองสมมุติ รายได้ปีแรก 12130 บาท ลองคำนวนค่าของเงนที่ควรจะเป็นโดยไม่นับเงินเดือนที่เพิ่ม ใช้แต่ดัชนีราคาผู้บริโภคมาคิด
          จะได้ว่า ถ้าในปี 57 รายได้ผมไม่ถึง 14338 บาท เท่ากับว่าผมแพ้ดัชนีราคาผู้บริโภค แต่ถ้าคิดเทียบค่าข้าวผัดใสไข่ทั่วไป ถ้าผมต้องการซื้อข้าวได้เท่าเดิม ผมควรต้องมีรายรับมากกว่า 14338 บาท คือต้องเป็น 533.96*31.86 = 17,014.16 บาท
          ตอนนี้ แถวที่ผมอยู่ ปี 58 ค่าข้าวผัดใสไข่ทั่วไป 45 บาท นั่นหมายความว่า ผมต้องมีรายรับเพื่อให้ซื้อข้าวได้เท่าเดิม เป็น 533.96*45 = 24,027.98บาท ถ้าผมมีราบรับไม่ถึง จะแปลว่าอะไร (ในความเป็นจริง แต่ละคนจะเพิ่ม มากกว่าตัวเลขข้างต้น ประมาณ 16%) หมายความว่า ทำงานมา 9 ปี ซื้อข้าวเพิ่มได้ประมาณปีละ 1.5-2% ถ้าหากมีครอบครัว มีลูก ซื้อบ้าน ซื้อรถ อะไรจะเกิดขึ้น


หมายเหตุ ตัวเลขข้างต้นสมมุติจากเงินเดือนวุฒิปริญญาตรีทั่วไปครับ ท่านใดมีตัวเลขอะไรน่าสนใจคอมเมนท์ได้ครับ ขอบอกว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัว คำนวนจากความรู้อันน้อยนิด ต้องขออภัยท่านนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายด้วยครับ มนุษย์เงินเดือนทั้งหลายลองพิจารณากันครับ







ทำไมต้องอ้างว่าเก่าแก่ตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา มันเก่าแค่ไหน พระเจ้าเหามีจริงไหม?

              พระเจ้าเหามีตัวตน แต่จะเห็น องค์เดียวกันกับที่มักอ้างกันหรือไม่นั้นไม่ทราบได้ครับ

              โดย หลวงจีนเย็นเกียรติ (ลิขิต ฮุนตระกูล) เป็นผู้สืบสวนค้นคว้า พระราชประวัติของพระเจ้าเหาขึ้นมา  โดยเขียนเล่าไว้ในหนังสือประวัติการสัมพันธ์ระหว่างชาติไทยกับชาติจีน ฉบับพิมพ์เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๙ ความว่า
        
      “พระเจ้าเสียวเหา (เสียวหมายถึง น้อย) หรือพระเจ้าเหา (น้อย) เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าหว่างตี้ราชวงศ์ที่ ๑ ปฐมกษัตริย์ ของจีนครองราชย์ ๒๑๕๔ ถึง ๒๐๕๕ ปีก่อนพ.ศ. อยู่ในราชสมบัติ ๑๐๐ ปี
        
       มีพระอัครชายา ๕ องค์ พระนางชีเลงสีพระมารดาพระเจ้าเหา (น้อย) เป็นพระอัครชายาที่ ๑ มีพระโอรส ๓ องค์ คือ 
               ๑. ชังฮี 
                ๒. พระเจ้าเหา (น้อย) 
               ๓. หล่งเมี้ยว
              พระเจ้าเสียวเหา เป็นพระราชโอรสอันดับองค์ที่ ๒ พระองค์ขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อปีมะโรง  ๒๐๕๔ ปีก่อน พ.ศ. และสวรรคตเมื่อปีเถาะ ๑๙๗๑ ปีก่อน พ.ศ. พระองค์เป็นต้นตระกูลไทย ในบันทึกประวัติศาสตร์จีนมีชัดแจ้งอยู่ว่าเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหานี้ได้รับพระราชทานตราตั้งราชตระกูล |ไทยไทย|  เป็นฐานันดรศักดิ์ประจำตระกูล"

                กล่าวคือ สมันพระเจ้าเหา เก่าแก่ประมาณ  ๔๕๒๙ ถึง ๔๖๑๒ ปี

                              “ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี” 

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำไม 1 โหล ต้องเท่ากับ 12?

             จากการค้นข้อมูล พบว่า คำว่า dozen ในภาษาละติน ว่า duodecim มีความหมาย จาก "5 ส่วนของ 60" เชื่อว่าเป็นการนับเลขรวมกลุ่มแบบแรกๆ เพราะตัวเลข 12 มาจากฐานการนับรอบดวงจันทร์โคจรรอบดวงอาทิตย์

             12 โหลเรียกว่า 1 กุรุส [a gross]

             ความเห็นส่วนตัวนะครับ 
               
             1.เลข 12 สามารถแบ่งได้หลายแบบมีประโยชน์ทางการค้า เช่น แบ่ง 2 แบ่ง 3 แบ่ง 4 แบ่ง 6

             2.หากซื้อของมาขาย จะสามารถกำหนดกำไรได้ง่าย เช่น ซื้อมาโหล ละ 100 บาท หากขายชิ้นละ 10 บาท จะได้กำไร 20 บาท



ท่านใดมีข้อมูลหรือความคิดเห็นเพิ่มเติม ยินดีรับฟังความคิดเห็นครับ

         

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำไมเวลาผ่า จุดตรวจของตำรวจ เจ้าหน้าที่มักจะถามว่า "มาจากไหนครับ? หรือจะไปไหนครับ?"

เวลาผ่า จุดตรวจของตำรวจ เจ้าหน้าที่มักจะถามว่า "มาจากไหนครับ? หรือจะไปไหนครับ?"


ใครมีคำตอบช่วย เกาให้หายครันด้วยครับ อยากรู้

ปฏิทินไทย เอาขึ้นเครื่องบินไม่ได้ จริงหรือ?

             ครั้งหนึ่งตอนจะขึ้นเครื่องบิน เพื่อนชาวต่างคนหนึ่งพูดภาษาไทยได้ถามขึ้นมาว่า "ปฏิทินประเทศยูเอาขึ้นเครื่องบินได้ป่าว?..." เราก็เลย งง ถามกลับไปว่าทำไม? เขาก็บอกกลับมาว่า "ก็ปฏิทินประเทศยูมีของมีคม เยอะมาก...."  มกรา ก็ คม, มีนา ก็ คม, พฤษภา ก็ คม ฯลฯ   เงิบเลยเรา

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบันไดมีจำนวนขั้นบันไดเป็นเลขคี่?

เคยสงสัยว่าทำไมจำนวนขั้นบันไดจึงเป็นเลขคี่?

          ผมเลยสอบถามช่างก่อสร้างที่ทำงานมานานว่าทำไมจำนวนขั้นบันไดจึงเป็นเลขคี่  เขาบอกว่าเป็นความเชื่อที่ว่า ถ้าจำนวนขั้นเป็นเลขคู่จะไม่เป็นมงคล
          
          ผมไม่ค่อยเห็นด้วย เลยพยายามหาเหตุผล วันหนึ่งตอนกลางดึก ผมลงบันไดบ้านไม่ได้เปิดไฟ เลยก้าวพลาดคิดว่าขั้นบันไดหมดแล้ว จึงเหยียบพลาด เกือบตกบันได

          จึงได้วิเคราะห์เหตุผลออกมาดังนี้ครับ
 
          คนทั่วไปมักมีนิสัยก้าวเท้าซ้ายก่อน เพราะถนักเท้าขวาจึงทิ้งน้ำหนักไว้ที่ท้าวขวาอย่างไม่รู้ตัว และมักจะก้าวในลักษณะ แบบ ซ้าย ขวา แล้วจบด้วยซ้ายซ้าย จำนวนก้าวจึงเป็นเลขคี่
          ด้วยความเคยชิน จากการก้าวแบบซ้าย ขวา ซ้าย หากบันไดมีจำนวนขั้นเป็นเลขคู่ จะทำให้รู้สึกว่าจำนวนขั้นบันไดหมดแล้วจากการที่เหยียบขั้นบันไดเท้าสุดท้ายด้วยเท้าซ้าย  หรือคิดว่ามีบั้นบันไดอีกขั้นจากการที่เหยียบขั้นบันไดขั้นสุดท้ายด้วยเท้าขวา จึงทำให้อาจสะดุดขั้นบันได หรืออาจตกบันไดได้
          ช่างโบราณจึงได้ออกแบบบันไดด้วยจำนวนขั้นบันไดที่เป็นเลขคี่ต่อๆกัน หากเป็นเลขคู่ช่างจะแก้ปัญหาโดยการปรับชานพักบันไดครับ

ลองนับจำนวนขั้นบันไดที่บ้านกันดูนะครับ

หากท่านไดมีเหตุผลที่ดีกว่านี้ รบกวนแสดงความคิดเห็นด้วยครับ

ดีหรือไม่ ถ้าจะมีการเบิกจ่ายตรง ค่าเล่าเรียนบุตรข้าราชการ?

 ถ้ามีการเบิกจ่ายตรง ค่าเล่าเรียนบุตรข้าราชการ แบบค่ารักษาพยาบาล เพื่อความกระชับ รวดเร็ว ไม่ซับซ้อน ผมมีแนวคิดแบบนี้ครับ

    1. รัฐสามารถประมวลข้อมูลบุตรข้าราชการการ เข้าเรียนในโรงเรียน ในแต่ละปีง่ายกว่าการเจ็บป่วยเสียอีก
    2. 
ในกรณีทั้ง พ่อ และแม่เป็นข้าราชการ มีสิทธิ์เบิกค่าเล่าเรียนบุตร ไม่ต้องตรวจสอบความซ้ำซ้อนในการเบิกจ่ายให้ยุ่งยาก
    3. รัฐสามารถตั้งงบรองจ่าย หรือเงินยืมให้แก่สถานศึกษา ที่มีบุตรข้าราชการในสังกัดได้ง่าย
    4. ผู้ปกครองไม่ต้องรอบิลเพื่อตั้งเบิก ข้าราชการส่วนหนึ่งต้องกู้เงินมาเสียดอกเบี้ย ถ้ารวดเร็ว เป็นการช่วยเหลือข้าราชการโดยที่รัฐไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากมาย 

    5. ช่วงเปิดภาคเรียนผู้ปกครองมีภาระรายจ่า ในการซื้อชุดนักเรียน และค่าหนังสือ เป็นเงินจำนวนมาก ถ้าเบิกจ่ายตรงค่าเล่าเรียนได้จะเป็นการลดภาระรายจ่ายช่วงเปิดภาคเรียนได้มาก เงินส่วนนั้นจะได้นำมาใช้จ่ายในพื้นที่แทนที่จะไปค้างอยู่ในโรงเรียน เป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ

ท่านใดมีความเห็น หรือข้อมูลอย่างไร รบกวนแชร์ความคิดเห็นด้วยครับ